ถ้าพูดถึงบริษัทชั้นนำในเมืองไทยที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนาน มีตราสินค้าเป็นเอกลักษณ์และผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง คนไทยรุ่น Baby Boomer จนถึงปลาย Gen X อย่างผม น่าจะมีชื่อบริษัทนี้ในลิสต์ที่เรานึกถึงแน่นอน กับบริษัทที่มีชื่อว่า
“โอสถสภา”
ฤกษ์งามยามดีในปี 2018 นี้แล้วที่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “โอสถสภา”) จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก และใช้ชื่อย่อว่า “OSP” วันนี้เรามาทำความรู้จักบริษัทที่มีประวัติยาวนานถึง 127 ปี รวมถึงอนาคตของธุรกิจ ซึ่งเรากำลังจะมีโอกาสได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทในฐานะของนักลงทุนกันครับ เริ่มต้นธุรกิจในปี พ.ศ. 2434 โดยใช้ชื่อว่า “เต๊กเฮงหยู” เป็นร้านขายยาเล็กๆ จากวันเริ่มต้นในฐานะร้านขายยาในวันนั้นจนถึงการเป็นบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในวันนี้ รวมเวลา 127 ปี OSP จึงมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าอีก 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (อายุ 105 ปี) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (อายุ 112 ปี) วันนี้ OSP กำลังจะกลายเป็นบริษัทที่มีประวัติความเป็นมายาวนานที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว OSP เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ โอสถสภาจะมีหุ้นรวมถึง 3,003,750,000 หุ้น โดยจะนำเสนอหุ้นต่อประชาชนรวมกันไม่เกิน 603.75 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นออกใหม่ 506.75 ล้านหุ้น และหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม 97.0 ล้านหุ้น การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ OSP ครั้งนี้ OSP จะออกหุ้นเพิ่มทุนเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปจำนวนไม่เกิน 506,750,000 หุ้น OSP ปัจจุบัน ทำธุรกิจอะไรบ้าง ขายอะไรบ้าง? ปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลชั้นนำในประเทศไทย ซึ่งเป็นเจ้าของตราสินค้าที่เป็นที่รู้จักหลากหลายตราสินค้าทีเดียวครับ
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม

ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
ผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายในต่างประเทศ

ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล
นอกจากนี้ OSP ยังประกอบธุรกิจให้บริการอื่นๆ คือ บริการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชน ซึ่งครอบคลุมถึงการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ขวดแก้ว และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลบางชนิด ผ่านกิจการร่วมค้าและการบริการผลิตสินค้า (Original Equipment Manufacturer (OEM)) และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้สัญญากิจการร่วมค้าด้วย โดยบริษัทฯ มีฐานการประกอบธุรกิจอยู่ในประเทศไทย และมีการประกอบธุรกิจและจำหน่ายสินค้าในเมียนมาร์ รวมถึงจำหน่ายสินค้าในกัมพูชาและลาว ซึ่งเป็นตลาดต่างประเทศหลัก นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศอื่นๆ อีก 25 ประเทศทั่วโลกด้วย
- ปี 2558
- กำไรสุทธิ 2,336 ล้านบาท
- ปี 2559
- กำไรสุทธิ 2,980.5 ล้านบาท
- ปี 2560
- กำไรสุทธิ 2,939.2 ล้านบาท
- งวด 6 เดือน ปี 2561
- กำไรสุทธิ 1,471.9 ล้านบาท
- หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัท จำนวนไม่เกิน 506,750,000 หุ้น
- หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Orizon Limited จำนวนไม่เกิน 67,000,000 หุ้น
- หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Y Investment Ltd จำนวนไม่เกิน 30,000,000 หุ้น
- ขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการพัฒนาปรับปรุงการผลิต การจัดจำหน่ายสินค้า การปรับปรุงประสิทธิภาพสินค้า และการดำเนินธุรกิจภายในของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึง
- การก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งใหม่ในเมียนมาร์
- การสร้างเตาหลอมแก้วใหม่ที่โรงงานผลิตขวดแก้วของบริษัทฯ
- การก่อสร้างโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลประเภทแป้งแห่งใหม่
- ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
- เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ